EP01: บทนำสู่โรงงานอัจฉริยะ, ระบบฐานข้อมูล และบทบาทของไมโครคอนโทรลเลอร์
June 4, 2568
1 . ภาพรวมและความสำคัญของโรงงานอัจฉริยะ ( Smart Factory) และ Industry 4.0 🏭🌐
ความหมายของ Smart Factory ( โรงงานอัจฉริยะ):
นิยาม: โรงงานอัจฉริยะคือสภาพแวดล้อมการผลิตที่มีความยืดหยุ่นสูง สามารถปรับตัวได้ และใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด โดยอาศัยการเชื่อมโยงกันของเครื่องจักร, ระบบ, และมนุษย์ ผ่านเทคโนโลยีดิจิทัลและระบบอัตโนมัติ
ลักษณะสำคัญ:
การเชื่อมต่อ ( Connectivity): เครื่องจักร อุปกรณ์ และระบบต่างๆ สามารถสื่อสารและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันได้แบบเรียลไทม์
ความโปร่งใสของข้อมูล ( Information Transparency): ข้อมูลจากกระบวนการผลิตถูกรวบรวมและแสดงผล ทำให้สามารถเข้าใจสถานการณ์จริงได้อย่างชัดเจน (Virtual Copy of the Physical World)
การสนับสนุนการตัดสินใจแบบกระจายศูนย์ ( Decentralized Decisions): ระบบย่อย (Cyber-Physical Systems) สามารถตัดสินใจและทำงานได้ด้วยตนเองในระดับหนึ่ง และส่งต่อปัญหาที่ซับซ้อนกว่าให้มนุษย์
การช่วยเหลือทางเทคนิค ( Technical Assistance): ระบบสามารถช่วยเหลือมนุษย์ในการทำงานที่ยากลำบาก, เป็นอันตราย หรือน่าเบื่อหน่าย และช่วยในการตัดสินใจผ่านการแสดงข้อมูลที่เข้าใจง่าย
องค์ประกอบหลักของ Smart Factory (Key Components):
Internet of Things (IoT) และ Industrial IoT (IIoT): เครือข่ายของอุปกรณ์, เครื่องจักร, เซ็นเซอร์ ที่เชื่อมต่อและแลกเปลี่ยนข้อมูลกันผ่านอินเทอร์เน็ต
Cyber-Physical Systems (CPS): ระบบที่ผสานรวมความสามารถในการคำนวณ, การเชื่อมต่อเครือข่าย, และกระบวนการทางกายภาพเข้าด้วยกัน สามารถควบคุมและติดตามกระบวนการผลิตได้
Big Data and Analytics: การรวบรวม, จัดเก็บ, และวิเคราะห์ข้อมูลจำนวนมหาศาลจากกระบวนการผลิต เพื่อหาข้อมูลเชิงลึก (Insights), คาดการณ์แนวโน้ม, และปรับปรุงประสิทธิภาพ
Cloud Computing: การใช้ทรัพยากรคอมพิวเตอร์ (เช่น พื้นที่จัดเก็บ, พลังการประมวลผล, ซอฟต์แวร์) ผ่านอินเทอร์เน็ต ทำให้มีความยืดหยุ่นและประหยัดค่าใช้จ่ายในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน
Artificial Intelligence (AI) and Machine Learning (ML): การใช้ AI และ ML ในการวิเคราะห์ข้อมูล, การควบคุมกระบวนการ, การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ (Predictive Maintenance), และการเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
Robotics and Automation: การใช้หุ่นยนต์และระบบอัตโนมัติในการทำงานต่างๆ เช่น การประกอบ, การขนย้าย, การตรวจสอบคุณภาพ
Additive Manufacturing (3D Printing): การผลิตชิ้นงานโดยการเพิ่มวัสดุทีละชั้น ช่วยในการสร้างต้นแบบและผลิตชิ้นส่วนที่ซับซ้อน
Cybersecurity: การป้องกันระบบและข้อมูลจากการเข้าถึงโดยไม่ได้รับอนุญาตและการโจมตีทางไซเบอร์ ซึ่งมีความสำคัญอย่างยิ่งเมื่อทุกอย่างเชื่อมต่อกัน
ประโยชน์และความท้าทายของ Smart Factory:
ประโยชน์ ( Benefits):
เพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ( Increased Efficiency): ลดของเสีย, ลดเวลาหยุดทำงานของเครื่องจักร, ใช้พลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ
เพิ่มความยืดหยุ่น ( Greater Flexibility): สามารถปรับเปลี่ยนการผลิตตามความต้องการของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว (Mass Customization)
คุณภาพสินค้าดีขึ้น ( Improved Quality): การตรวจสอบและควบคุมคุณภาพแบบเรียลไทม์ ลดความผิดพลาด
ลดต้นทุน ( Cost Reduction): ทั้งต้นทุนการผลิต, การบำรุงรักษา, และการจัดการสินค้าคงคลัง
ความปลอดภัยที่ดีขึ้น ( Enhanced Safety): ลดความเสี่ยงจากการทำงานที่เป็นอันตราย
การตัดสินใจที่ดีขึ้น ( Better Decision Making): จากข้อมูลที่ถูกต้องและทันเวลา
ความท้าทาย ( Challenges):
การลงทุนเริ่มต้นสูง ( High Initial Investment): ค่าใช้จ่ายในการจัดซื้อเทคโนโลยีและปรับปรุงโครงสร้างพื้นฐาน
ความซับซ้อนในการบูรณาการระบบ ( Complexity of Integration): การเชื่อมต่อระบบเก่าเข้ากับระบบใหม่
ความปลอดภัยทางไซเบอร์ ( Cybersecurity Risks): ความเสี่ยงจากการถูกโจมตีเมื่อระบบเชื่อมต่อกัน
การขาดแคลนบุคลากรที่มีทักษะ ( Skills Gap): ต้องการพนักงานที่มีความรู้ความเข้าใจในเทคโนโลยีดิจิทัล
การจัดการข้อมูล ( Data Management): การรับมือกับข้อมูลจำนวนมหาศาลและการรักษาความเป็นส่วนตัวของข้อมูล
การเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมองค์กร ( Organizational Culture Change): การปรับตัวของพนักงานและฝ่ายบริหารต่อวิธีการทำงานแบบใหม่
ความเชื่อมโยงกับ Industry 4.0 ( การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4):
Industry 4.0 คือแนวคิดหรือกรอบการทำงานที่ใหญ่กว่า ซึ่งหมายถึงการปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่สี่ ที่เน้นการนำเทคโนโลยีดิจิทัล (เช่น IoT, AI, Big Data) มาผสานเข้ากับกระบวนการผลิตและอุตสาหกรรมทั้งหมด
Smart Factory ถือเป็นผลลัพธ์หรือการประยุกต์ใช้ที่สำคัญของ Industry 4.0 เป็นโรงงานที่เกิดขึ้นจริงจากการนำหลักการและเทคโนโลยีของ Industry 4.0 มาใช้งาน
หลักการสำคัญของ Industry 4.0 ที่สะท้อนใน Smart Factory:
Interoperability ( การทำงานร่วมกัน): ความสามารถของเครื่องจักร, อุปกรณ์, เซ็นเซอร์, และคนในการเชื่อมต่อและสื่อสารกันผ่าน IoT หรือ Internet of People (IoP)
Information Transparency ( ความโปร่งใสของข้อมูล): ระบบข้อมูลสามารถสร้างสำเนาเสมือนของโลกจริง (Virtual Twin) ผ่านข้อมูลจากเซ็นเซอร์ ทำให้เห็นภาพรวมของกระบวนการ
Technical Assistance ( การช่วยเหลือทางเทคนิค): ระบบสามารถช่วยเหลือมนุษย์ในการตัดสินใจและแก้ปัญหา และทำงานที่อันตรายหรือน่าเบื่อ
Decentralized Decisions ( การตัดสินใจแบบกระจายศูนย์): Cyber-Physical Systems สามารถตัดสินใจด้วยตนเองและทำงานอัตโนมัติได้ในระดับหนึ่ง
2 . ความหมายและองค์ประกอบของระบบฐานข้อมูลในยุคดิจิทัล 💾💻
นิยามของข้อมูล ( Data) และฐานข้อมูล ( Database):
ข้อมูล ( Data): ข้อเท็จจริงหรือสิ่งที่บันทึกไว้เกี่ยวกับเหตุการณ์, วัตถุ, หรือแนวคิด ซึ่งยังไม่ได้ผ่านการประมวลผลเพื่อนำไปใช้ประโยชน์โดยตรง (เช่น ตัวเลข, ข้อความ, รูปภาพ, เสียง ที่บันทึกจากเซ็นเซอร์, แบบฟอร์ม, หรือการทำธุรกรรม)
สารสนเทศ ( Information): ข้อมูลที่ผ่านการประมวลผล (เช่น การจัดกลุ่ม, การคำนวณ, การเปรียบเทียบ) เพื่อให้มีความหมายและสามารถนำไปใช้ในการตัดสินใจได้
ฐานข้อมูล ( Database): กลุ่มของข้อมูลที่มีความสัมพันธ์กันและถูกจัดเก็บอย่างเป็นระบบในคอมพิวเตอร์ เพื่อให้สามารถเรียกใช้, จัดการ, และปรับปรุงข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพ ออกแบบมาเพื่อตอบสนองความต้องการข้อมูลของผู้ใช้หลายคนหรือหลายแอปพลิเคชัน
ความแตกต่าง: ข้อมูลคือวัตถุดิบ, ฐานข้อมูลคือที่เก็บวัตถุดิบอย่างเป็นระเบียบ, สารสนเทศคือผลลัพธ์ที่ได้จากการปรุงวัตถุดิบนั้น
ระบบจัดการฐานข้อมูล ( Database Management System – DBMS):
นิยาม: ชุดของโปรแกรมซอฟต์แวร์ที่ทำหน้าที่เป็นตัวกลางระหว่างผู้ใช้/แอปพลิเคชันกับฐานข้อมูล ช่วยให้ผู้ใช้สามารถสร้าง, เข้าถึง, จัดการ, ควบคุม, และดูแลรักษาฐานข้อมูลได้อย่างสะดวกและปลอดภัย
หน้าที่หลักของ DBMS:
Data Definition: กำหนดโครงสร้างของฐานข้อมูล (เช่น การสร้างตาราง, กำหนดชนิดข้อมูล, กำหนดความสัมพันธ์) โดยใช้ Data Definition Language (DDL)
Data Manipulation: จัดการข้อมูลในฐานข้อมูล (เช่น การเพิ่ม, ลบ, แก้ไข, เรียกดูข้อมูล) โดยใช้ Data Manipulation Language (DML) เช่น SQL
Data Retrieval (Querying): การสืบค้นหรือสอบถามข้อมูลที่ต้องการจากฐานข้อมูล
Concurrency Control: ควบคุมการเข้าถึงข้อมูลพร้อมกันจากผู้ใช้หลายคน เพื่อป้องกันความขัดแย้งของข้อมูล
Security Control: กำหนดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลของผู้ใช้แต่ละคน เพื่อความปลอดภัยของข้อมูล
Integrity Control: รักษาความถูกต้องและความสอดคล้องของข้อมูลตามกฎเกณฑ์ที่กำหนด
Backup and Recovery: สำรองข้อมูลและกู้คืนข้อมูลเมื่อเกิดความเสียหาย
ตัวอย่าง DBMS ที่นิยม: MySQL, PostgreSQL, Microsoft SQL Server, Oracle Database, SQLite (สำหรับอุปกรณ์ขนาดเล็ก/Embedded), MongoDB (NoSQL)
ประโยชน์ของระบบฐานข้อมูล:
ลดความซ้ำซ้อนของข้อมูล ( Reduced Data Redundancy): จัดเก็บข้อมูลไว้ที่เดียว ทำให้ข้อมูลไม่ซ้ำซ้อนกันในหลายๆ ไฟล์
หลีกเลี่ยงความขัดแย้งของข้อมูล ( Avoided Data Inconsistency): เมื่อข้อมูลถูกปรับปรุง จะมีผลกับทุกส่วนที่เกี่ยวข้อง ทำให้ข้อมูลถูกต้องตรงกัน
การใช้ข้อมูลร่วมกัน ( Data Sharing): ผู้ใช้หลายคนหรือหลายแอปพลิเคชันสามารถเข้าถึงและใช้ข้อมูลจากฐานข้อมูลเดียวกันได้
รักษาความถูกต้องของข้อมูล ( Data Integrity): สามารถกำหนดกฎเกณฑ์เพื่อบังคับให้ข้อมูลมีความถูกต้องและน่าเชื่อถือ
ควบคุมความปลอดภัยของข้อมูล ( Data Security): สามารถกำหนดสิทธิ์การเข้าถึงข้อมูลเพื่อป้องกันผู้ที่ไม่เกี่ยวข้อง
ความเป็นอิสระของข้อมูล ( Data Independence): การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการจัดเก็บข้อมูลทางกายภาพ ไม่จำเป็นต้องกระทบต่อโปรแกรมประยุกต์ที่เรียกใช้
การเข้าถึงข้อมูลที่ง่ายและรวดเร็ว ( Efficient Data Access): DBMS มีกลไกในการจัดเก็บและค้นหาข้อมูลอย่างมีประสิทธิภาพ
การตัดสินใจที่ดีขึ้น ( Improved Decision Making): ผู้บริหารสามารถเข้าถึงข้อมูลที่ถูกต้องและทันสมัยเพื่อประกอบการตัดสินใจ
3. บทบาทของข้อมูล: ข้อมูลคือหัวใจของโรงงานอัจฉริยะ ❤️🏭
ประเภทของข้อมูลในโรงงาน ( Types of Data in a Factory):
ข้อมูลการผลิต ( Production Data):
ข้อมูลคำสั่งผลิต (Production Orders)
สถานะการผลิตแบบเรียลไทม์ (Real-time Production Status)
จำนวนที่ผลิตได้ (Output Quantity), ของเสีย (Scrap Quantity)
รอบเวลาการผลิต (Cycle Time), เวลาหยุดทำงานของเครื่องจักร (Downtime)
ประสิทธิภาพโดยรวมของเครื่องจักร (Overall Equipment Effectiveness – OEE)
ข้อมูลเครื่องจักร ( Machine Data):
ข้อมูลจากเซ็นเซอร์ของเครื่องจักร (อุณหภูมิ, แรงดัน, ความเร็วรอบ, การสั่นสะเทือน)
สถานะการทำงานของเครื่องจักร (เปิด/ปิด, กำลังทำงาน, หยุดซ่อม)
ประวัติการบำรุงรักษา (Maintenance Logs)
อัตราการใช้พลังงาน (Energy Consumption)
ข้อมูลคุณภาพ ( Quality Data):
ผลการตรวจสอบคุณภาพวัตถุดิบ, ระหว่างกระบวนการ, และสินค้าสำเร็จรูป
ข้อมูลจากเครื่องมือวัด (Measurement Data from CMM, Vision Systems)
จำนวนข้อบกพร่อง (Defect Counts) และประเภทของข้อบกพร่อง
ข้อมูลสินค้าคงคลัง ( Inventory Data):
ระดับวัตถุดิบ, งานระหว่างทำ (Work-in-Progress – WIP), สินค้าสำเร็จรูป
ตำแหน่งการจัดเก็บ (Storage Location)
ข้อมูลซัพพลายเชน ( Supply Chain Data):
ข้อมูลการสั่งซื้อวัตถุดิบจากซัพพลายเออร์
ข้อมูลการจัดส่งสินค้าให้ลูกค้า
ข้อมูลสิ่งแวดล้อมและความปลอดภัย ( Environmental and Safety Data):
ข้อมูลการปล่อยของเสีย, การใช้พลังงาน, อุณหภูมิ/ความชื้นในพื้นที่ทำงาน
บันทึกอุบัติเหตุหรือเหตุการณ์เกือบเกิดอุบัติเหตุ (Near Misses)
ข้อมูลพนักงาน ( Employee Data – relevant to production):
ข้อมูลการเข้ากะ, ทักษะ, ประสิทธิภาพการทำงาน (ในส่วนที่เกี่ยวข้องและได้รับอนุญาต)
ความสำคัญของการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยข้อมูล ( Data-Driven Decision Making – DDDM):
นิยาม: กระบวนการตัดสินใจทางธุรกิจหรือการปฏิบัติงานโดยอาศัยการวิเคราะห์ข้อมูลและข้อเท็จจริง แทนที่จะใช้สัญชาตญาณหรือประสบการณ์เพียงอย่างเดียว
ประโยชน์ในโรงงานอัจฉริยะ:
การปรับปรุงกระบวนการ ( Process Improvement): วิเคราะห์ข้อมูลเพื่อค้นหาคอขวด (Bottlenecks), ลดความสูญเปล่า, และเพิ่มประสิทธิภาพ
การบำรุงรักษาเชิงคาดการณ์ ( Predictive Maintenance): วิเคราะห์ข้อมูลจากเซ็นเซอร์เครื่องจักรเพื่อคาดการณ์ความล้มเหลวที่อาจเกิดขึ้น และวางแผนการบำรุงรักษาก่อนที่จะเกิดปัญหาจริง ช่วยลด Downtime ที่ไม่ได้วางแผน
การควบคุมคุณภาพเชิงรุก ( Proactive Quality Control): ตรวจจับแนวโน้มที่อาจนำไปสู่ปัญหาคุณภาพ และดำเนินการแก้ไขก่อนที่สินค้าจะไม่ได้มาตรฐาน
การวางแผนการผลิตที่แม่นยำ ( Accurate Production Planning): ใช้ข้อมูลความต้องการของตลาดและกำลังการผลิตจริงในการวางแผน
การจัดการพลังงานอย่างมีประสิทธิภาพ ( Efficient Energy Management): ติดตามและวิเคราะห์การใช้พลังงานเพื่อหาจุดที่สามารถประหยัดได้
การตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงได้เร็วขึ้น ( Faster Response to Changes): เมื่อมีข้อมูลเรียลไทม์ ทำให้ผู้จัดการสามารถรับรู้ปัญหาและตัดสินใจแก้ไขได้อย่างรวดเร็ว
4. ไมโครคอนโทรลเลอร์ ( MCU) ในฐานะแหล่งกำเนิดข้อมูล ( Data Source) ใน IoT และโรงงาน 🔌📈
ความหมายและประเภทของไมโครคอนโทรลเลอร์ที่นิยมใช้:
ไมโครคอนโทรลเลอร์ ( Microcontroller – MCU): ชิปไอซีขนาดเล็กที่รวมเอาหน่วยประมวลผลกลาง (CPU), หน่วยความจำ (RAM, ROM/Flash), และพอร์ตอินพุต/เอาต์พุต (I/O Ports) ไว้ในตัวเดียวกัน ออกแบบมาเพื่องานควบคุมเฉพาะอย่าง (Embedded Systems) มีราคาไม่แพงและใช้พลังงานต่ำ
เปรียบเทียบกับไมโครโพรเซสเซอร์ ( Microprocessor – MPU): MPU เช่น CPU ในคอมพิวเตอร์ทั่วไป มักต้องการอุปกรณ์ภายนอกอื่นๆ เช่น RAM, ROM, I/O Controllers เพื่อทำงานเป็นระบบคอมพิวเตอร์ที่สมบูรณ์ แต่ MCU จะมีองค์ประกอบเหล่านี้อยู่ภายในตัวแล้ว
ประเภทที่นิยมใช้ในงาน IoT และการศึกษา:
Arduino ( เช่น Arduino Uno, Nano, Mega): บอร์ดพัฒนา MCU ที่ใช้งานง่าย มีไลบรารีและชุมชนผู้ใช้ขนาดใหญ่ เหมาะสำหรับการเรียนรู้และสร้างต้นแบบ มีพื้นฐานจาก MCU ตระกูล AVR ของ Atmel (ปัจจุบันคือ Microchip)
ESP32 / ESP8266 (Espressif Systems): MCU ที่มีความสามารถในการเชื่อมต่อ Wi-Fi และ Bluetooth ในตัว ราคาไม่แพง นิยมมากในโครงการ IoT มี CPU สถาปัตยกรรม Tensilica Xtensa
Raspberry Pi Pico: บอร์ด MCU ที่ใช้ชิป RP2040 ซึ่งออกแบบโดย Raspberry Pi Foundation เอง มีจุดเด่นที่ CPU Dual-core ARM Cortex-M0+ และ Programmable I/O (PIO) ที่ยืดหยุ่น
STM32 (STMicroelectronics): ตระกูล MCU ที่ใช้สถาปัตยกรรม ARM Cortex-M มีประสิทธิภาพสูงและมี Peripheral หลากหลาย เหมาะสำหรับงานที่ซับซ้อนขึ้น
PIC Microcontrollers (Microchip): อีกหนึ่งตระกูล MCU ที่นิยมใช้ในอุตสาหกรรมและงาน Embedded มายาวนาน
การเชื่อมต่อกับเซ็นเซอร์ ( Sensors) และตัวกระตุ้น ( Actuators):
เซ็นเซอร์ ( Sensors): อุปกรณ์ที่ทำหน้าที่ตรวจจับปริมาณทางกายภาพหรือการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อม และแปลงเป็นสัญญาณไฟฟ้าที่ MCU สามารถอ่านค่าได้
ตัวอย่างเซ็นเซอร์ที่ใช้ในโรงงาน:
เซ็นเซอร์อุณหภูมิและความชื้น ( Temperature & Humidity Sensors): เช่น DHT11, DHT22, LM35 (สำหรับวัดอุณหภูมิเครื่องจักร, สภาพแวดล้อม)
เซ็นเซอร์แสง ( Light Sensors): เช่น LDR (Photoresistor), BH1750 (สำหรับควบคุมแสงสว่าง, ตรวจจับวัตถุ)
เซ็นเซอร์ระยะทาง ( Distance Sensors): เช่น Ultrasonic (HC-SR04), Infrared (Sharp GP2Y0A21YK0F) (สำหรับวัดระดับในถัง, ตรวจจับตำแหน่ง)
เซ็นเซอร์ตรวจจับการเคลื่อนไหว ( Motion Sensors): เช่น PIR (Passive Infrared) (สำหรับระบบรักษาความปลอดภัย, เปิด/ปิดไฟอัตโนมัติ)
เซ็นเซอร์กระแสไฟฟ้า/แรงดันไฟฟ้า ( Current/Voltage Sensors): เช่น ACS712 (สำหรับติดตามการใช้พลังงานของเครื่องจักร)
เซ็นเซอร์วัดการสั่นสะเทือน ( Vibration Sensors): เช่น SW-420, MPU6050 (Accelerometer/Gyroscope) (สำหรับตรวจจับความผิดปกติของเครื่องจักร)
Proximity Sensors (Inductive, Capacitive): สำหรับตรวจจับวัตถุโลหะ/อโลหะโดยไม่ต้องสัมผัส
Encoders: สำหรับวัดความเร็วรอบหรือตำแหน่งของมอเตอร์
ตัวกระตุ้น ( Actuators): อุปกรณ์ที่รับสัญญาณจาก MCU แล้วทำการเปลี่ยนแปลงสภาพแวดล้อมทางกายภาพ
ตัวอย่างตัวกระตุ้น:
LEDs (Light Emitting Diodes): แสดงสถานะ, แจ้งเตือน
Relays: สวิตช์ไฟฟ้าที่ควบคุมด้วยสัญญาณไฟฟ้าต่ำจาก MCU เพื่อเปิด/ปิดอุปกรณ์ที่ใช้ไฟฟ้าแรงสูง/กระแสสูง (เช่น มอเตอร์, ปั๊ม, ฮีตเตอร์)
Motors (DC Motors, Servo Motors, Stepper Motors): ขับเคลื่อนชิ้นส่วนเครื่องจักร, สายพานลำเลียง, แขนกลขนาดเล็ก
Solenoid Valves: เปิด/ปิดการไหลของของเหลวหรือแก๊ส
Buzzers/Speakers: ส่งเสียงแจ้งเตือน
Displays (LCD, OLED): แสดงข้อมูลสถานะให้ผู้ปฏิบัติงานทราบ
บทบาทของ MCU ในการรวบรวมข้อมูลจากสภาพแวดล้อมและเครื่องจักร:
การอ่านค่าจากเซ็นเซอร์ ( Sensor Reading): MCU อ่านค่าสัญญาณอนาล็อกหรือดิจิทัลจากเซ็นเซอร์ตามช่วงเวลาที่กำหนด
การประมวลผลข้อมูลเบื้องต้น ( Basic Data Processing/Edge Computing):
การกรองสัญญาณรบกวน (Noise Filtering)
การแปลงหน่วย (Unit Conversion) เช่น แปลงค่าแรงดันไฟฟ้าจากเซ็นเซอร์เป็นค่าอุณหภูมิ
การตรวจสอบค่าเกินเกณฑ์ที่กำหนด (Threshold Checking) และแจ้งเตือนเบื้องต้น
การจัดเก็บข้อมูลชั่วคราว ( Temporary Data Logging): หากการเชื่อมต่อเครือข่ายขัดข้อง MCU บางตัวอาจมีหน่วยความจำพอสำหรับเก็บข้อมูลไว้ชั่วคราวก่อนส่งต่อ
การส่งข้อมูล ( Data Transmission): ส่งข้อมูลที่รวบรวมและประมวลผลเบื้องต้นแล้วไปยัง Gateway, เซิร์ฟเวอร์กลาง, หรือระบบ Cloud ผ่านช่องทางการสื่อสารต่างๆ (เช่น Wi-Fi, Ethernet, LoRa, Bluetooth, Serial Communication) เพื่อนำไปจัดเก็บในระบบฐานข้อมูลหลักต่อไป
การควบคุม ( Control Loop – опционально): ในบางระบบ MCU อาจใช้ข้อมูลจากเซ็นเซอร์เพื่อควบคุม Actuator โดยตรง (Closed-loop control) เช่น ควบคุมอุณหภูมิให้คงที่โดยเปิด/ปิดฮีตเตอร์ตามค่าที่อ่านได้จากเซ็นเซอร์อุณหภูมิ