(1) ทบทวนความรู้เดิม
- ค่าความจริง (Boolean Values):
True
(จริง) และFalse
(เท็จ) ซึ่งเป็นผลลัพธ์สำคัญในการตัดสินใจของโปรแกรม - ตัวดำเนินการเปรียบเทียบ (Comparison Operators):
==
(เท่ากับ),!=
(ไม่เท่ากับ)>
(มากกว่า),<
(น้อยกว่า)>=
(มากกว่าหรือเท่ากับ),<=
(น้อยกว่าหรือเท่ากับ)- การใช้ตัวดำเนินการเหล่านี้เปรียบเทียบค่าสองค่า และผลลัพธ์ที่ได้จะเป็น
True
หรือFalse
เสมอ- ตัวอย่าง:
5 > 3
(ได้True
),10 == 20
(ได้False
),'hello' == 'hello'
(ได้True
)
- ตัวอย่าง:
- ตัวดำเนินการตรรกะ (Logical Operators):
and
(และ): ผลลัพธ์เป็นTrue
เมื่อเงื่อนไข ทั้งสองข้าง เป็นTrue
- ตัวอย่าง:
(age >= 18) and (country == "Thailand")
- ตัวอย่าง:
or
(หรือ): ผลลัพธ์เป็นTrue
เมื่อเงื่อนไข อย่างน้อยหนึ่งข้าง เป็นTrue
- ตัวอย่าง:
(day == "Saturday") or (day == "Sunday")
- ตัวอย่าง:
not
(ไม่): กลับค่าความจริงจากTrue
เป็นFalse
และจากFalse
เป็นTrue
- ตัวอย่าง:
not is_member
- ตัวอย่าง:
- การรับข้อมูล
input()
และการแปลงชนิดข้อมูล:- ทบทวนว่า
input()
คืนค่าเป็นสตริง (str
) เสมอ - ความจำเป็นในการใช้
int()
,float()
เพื่อแปลงเป็นตัวเลขก่อนนำไปคำนวณหรือเปรียบเทียบเชิงตัวเลข
- ทบทวนว่า
(2) แนวคิดการควบคุมการไหลของโปรแกรม (Control Flow Concept)
- การทำงานแบบตามลำดับ (Sequential Flow): อธิบายว่าโปรแกรมที่ผ่านมาส่วนใหญ่ทำงานจากคำสั่งแรกไปจนถึงคำสั่งสุดท้ายตามลำดับ
- การทำงานแบบเลือกทำ (Selection/Conditional Flow): แนะนำแนวคิดที่โปรแกรมสามารถ “ตัดสินใจ” ได้ว่าจะทำชุดคำสั่งใด โดยขึ้นอยู่กับเงื่อนไขบางอย่าง
- อุปมาอุปมัย:
- ถ้าฝนตก ให้กางร่ม (มิฉะนั้น ไม่ต้องกางร่ม)
- ถ้าสอบได้คะแนนมากกว่า 50 คะแนน ให้แสดงว่า “ผ่าน” (มิฉะนั้น แสดงว่า “ไม่ผ่าน”)
- ถ้าเลือกเมนูอาหารเป็น “กะเพราหมู” ให้คิดราคา 50 บาท
- อุปมาอุปมัย:
(3) โครงสร้างควบคุมแบบเลือกทำทางเดียว (One-Way Selection): if
statement
- หลักการ: ใช้เมื่อต้องการให้โปรแกรมทำงานบางอย่าง เฉพาะเมื่อ เงื่อนไขที่กำหนดเป็นจริงเท่านั้น ถ้าเงื่อนไขเป็นเท็จ โปรแกรมจะข้ามชุดคำสั่งนั้นไป
- ไวยากรณ์ (Syntax):
Python
if <เงื่อนไข (condition)>:
# ชุดคำสั่งที่จะทำงานเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง
# (ต้องมีการเยื้องเข้ามา)
statement_1
statement_2
...
# ชุดคำสั่งต่อไป (อยู่นอกบล็อก if)
- การทำงาน:
- โปรแกรมจะประเมิน
<เงื่อนไข>
- ถ้าผลลัพธ์ของ
<เงื่อนไข>
เป็นTrue
ชุดคำสั่งที่อยู่ภายใต้if
(ที่เยื้องเข้าไป) จะถูกทำงาน - ถ้าผลลัพธ์ของ
<เงื่อนไข>
เป็นFalse
ชุดคำสั่งที่อยู่ภายใต้if
จะถูกข้ามไป และโปรแกรมจะไปทำงานคำสั่งถัดไปที่อยู่นอกบล็อกif
- โปรแกรมจะประเมิน
- ผังงาน (Flowchart):

- ความสำคัญของการเยื้อง (Indentation):
- Python ใช้การเยื้อง (โดยทั่วไปคือ 4 เคาะเว้นวรรค หรือ 1 แท็บ) เพื่อกำหนดขอบเขตของชุดคำสั่งที่อยู่ภายใต้
if
- การเยื้องที่ไม่ถูกต้องจะทำให้เกิด
IndentationError
หรือทำให้โปรแกรมทำงานผิดพลาด
- Python ใช้การเยื้อง (โดยทั่วไปคือ 4 เคาะเว้นวรรค หรือ 1 แท็บ) เพื่อกำหนดขอบเขตของชุดคำสั่งที่อยู่ภายใต้
- ตัวอย่างโค้ด:
Python
age = int(input("กรุณาป้อนอายุของคุณ: "))
if age >= 18:
print("คุณเป็นผู้ใหญ่แล้ว")
print("จบการตรวจสอบอายุ") # คำสั่งนี้จะทำงานเสมอ ไม่ว่าเงื่อนไขจะเป็นจริงหรือเท็จ
score = 75
if score >= 50:
print("ยินดีด้วย! คุณสอบผ่าน")
print("คุณได้คะแนน:", score)
(4) โครงสร้างควบคุมแบบเลือกทำสองทาง (Two-Way Selection): if-else
statement
- หลักการ: ใช้เมื่อต้องการให้โปรแกรมเลือกทำงานอย่างใดอย่างหนึ่งจากสองทางเลือก โดยขึ้นอยู่กับว่าเงื่อนไขเป็นจริงหรือเท็จ
- ไวยากรณ์ (Syntax):
Python
if <เงื่อนไข (condition)>:
# ชุดคำสั่งที่จะทำงานเมื่อเงื่อนไขเป็นจริง
statement_block_1
else:
# ชุดคำสั่งที่จะทำงานเมื่อเงื่อนไขเป็นเท็จ
statement_block_2
# ชุดคำสั่งต่อไป
- การทำงาน:
- โปรแกรมประเมิน
<เงื่อนไข>
- ถ้าเป็น
True
ให้ทำstatement_block_1
แล้วข้ามstatement_block_2
ไป - ถ้าเป็น
False
ให้ข้ามstatement_block_1
แล้วไปทำstatement_block_2
- จะมีเพียงบล็อกเดียวเท่านั้น (ใน
if
หรือelse
) ที่ถูกทำงาน
- โปรแกรมประเมิน
- ผังงาน (Flowchart):

- ตัวอย่างโค้ด:
Python
number = int(input("ป้อนตัวเลขจำนวนเต็ม: "))
if number % 2 == 0:
print(f"{number} เป็นเลขคู่")
else:
print(f"{number} เป็นเลขคี่")
temperature = float(input("อุณหภูมิวันนี้ (องศาเซลเซียส): "))
if temperature > 30:
print("วันนี้อากาศร้อนมาก!")
else:
print("วันนี้อากาศไม่ร้อนเท่าไหร่")
(5) โครงสร้างควบคุมแบบเลือกทำหลายทาง (Multi-Way Selection): if-elif-else
statement
- หลักการ: ใช้เมื่อมีทางเลือกในการทำงานมากกว่าสองทาง โปรแกรมจะตรวจสอบเงื่อนไขไปตามลำดับ และจะทำงานในบล็อกของเงื่อนไขแรกที่เป็นจริงเท่านั้น
- ไวยากรณ์ (Syntax):
Python
if <เงื่อนไข_1>:
# ชุดคำสั่งเมื่อ เงื่อนไข_1 เป็นจริง
statement_block_1
elif <เงื่อนไข_2>:
# ชุดคำสั่งเมื่อ เงื่อนไข_1 เป็นเท็จ และ เงื่อนไข_2 เป็นจริง
statement_block_2
elif <เงื่อนไข_3>:
# ชุดคำสั่งเมื่อ เงื่อนไข_1,2 เป็นเท็จ และ เงื่อนไข_3 เป็นจริง
statement_block_3
# ... (สามารถมี elif เพิ่มเติมได้ตามต้องการ)
else:
# ชุดคำสั่งเมื่อทุกเงื่อนไขข้างบนเป็นเท็จทั้งหมด (เป็นทางเลือกเสริม)
statement_block_else
# ชุดคำสั่งต่อไป
- การทำงาน:
- ตรวจสอบ
<เงื่อนไข_1>
ถ้าเป็นTrue
ทำstatement_block_1
แล้วออกจากโครงสร้างif-elif-else
ทั้งหมด - ถ้า
<เงื่อนไข_1>
เป็นFalse
ให้ตรวจสอบ<เงื่อนไข_2>
ถ้าเป็นTrue
ทำstatement_block_2
แล้วออกจากโครงสร้าง - ทำเช่นนี้ไปเรื่อยๆ กับ
elif
ที่เหลือ - ถ้าทุกเงื่อนไขใน
if
และelif
ทั้งหมดเป็นFalse
และมีelse
อยู่ โปรแกรมจะทำstatement_block_else
else
เป็นส่วนที่ไม่บังคับ (optional)
- ตรวจสอบ
- ผังงาน (Flowchart):

- ตัวอย่างโค้ด:
Python
score = int(input("ป้อนคะแนนสอบ (0-100): "))
if score >= 80:
grade = "A"
elif score >= 70:
grade = "B"
elif score >= 60:
grade = "C"
elif score >= 50:
grade = "D"
else:
grade = "F"
print(f"คุณได้เกรด: {grade}")
choice = input("เลือกเมนู (1=กาแฟ, 2=ชา, 3=น้ำผลไม้): ")
if choice == '1':
print("คุณเลือกกาแฟ ราคา 50 บาท")
elif choice == '2':
print("คุณเลือกชา ราคา 40 บาท")
elif choice == '3':
print("คุณเลือกน้ำผลไม้ ราคา 60 บาท")
else:
print("คุณเลือกไม่ถูกต้อง กรุณาเลือกใหม่")
(6) การสร้างเงื่อนไขที่ซับซ้อน (Complex Conditions)
- ทบทวนการใช้ตัวดำเนินการตรรกะ
and
,or
,not
เพื่อเชื่อมโยงนิพจน์เปรียบเทียบหลายๆ อันเข้าด้วยกัน - ตัวอย่าง:
Python
age = 25
is_student = True
if age < 18:
print("เป็นผู้เยาว์")
elif age >= 18 and age <= 60:
print("เป็นวัยทำงาน")
if is_student: # Nested if example
print("และยังเป็นนักศึกษา")
else:
print("เป็นผู้สูงอายุ")
# ตัวอย่างการใช้ or
day = input("วันนี้วันอะไร (เช่น Monday, Sunday): ").capitalize() # ทำให้ตัวแรกเป็นตัวใหญ่
if day == "Saturday" or day == "Sunday":
print(f"{day} เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์!")
else:
print(f"{day} เป็นวันทำงาน")
- ลำดับความสำคัญ:
not
มาก่อนand
และand
มาก่อนor
ใช้วงเล็บ()
เพื่อจัดกลุ่มและทำให้อ่านง่ายขึ้น
(7) (เสริม) คำสั่ง if
ซ้อน if
(Nested if
Statements)
- แนวคิด: คือการมีโครงสร้าง
if
(หรือif-else
,if-elif-else
) อยู่ภายในบล็อกคำสั่งของโครงสร้างif
(หรือelse
,elif
) อีกชั้นหนึ่ง - ใช้สำหรับกรณีที่การตัดสินใจหนึ่งนำไปสู่การตัดสินใจย่อยๆ อีก
- ตัวอย่าง:
Python
username = input("Username: ")
if username == "admin":
password = input("Password: ")
if password == "secret123":
print("เข้าสู่ระบบสำเร็จในฐานะผู้ดูแลระบบ")
else:
print("รหัสผ่านไม่ถูกต้อง")
elif username == "user":
print("เข้าสู่ระบบสำเร็จในฐานะผู้ใช้งานทั่วไป")
else:
print("ไม่พบชื่อผู้ใช้งานนี้")
- ข้อควรระวัง: การซ้อน
if
หลายชั้นเกินไปอาจทำให้โค้ดอ่านยากและซับซ้อน ควรพิจารณาทางเลือกอื่นถ้าเป็นไปได้ (เช่น การใช้and
หรือการแยกเป็นฟังก์ชันในภายหลัง)
(8) ความสำคัญของการเยื้อง (Indentation) ใน Python
- Python ไม่ใช้เครื่องหมาย
{}
เพื่อกำหนดบล็อกของโค้ดเหมือนภาษาอื่น แต่ใช้ การเยื้อง - ทุกคำสั่งที่อยู่ในบล็อกเดียวกันต้องมีการเยื้องในระดับเดียวกัน
- มาตรฐานคือใช้ 4 เคาะเว้นวรรค (spaces) ต่อการเยื้องหนึ่งระดับ
- IDE ส่วนใหญ่จะช่วยจัดการการเยื้องอัตโนมัติเมื่อกด Enter หลังเครื่องหมาย
:
IndentationError
: จะเกิดขึ้นถ้าการเยื้องไม่ถูกต้อง หรือไม่สอดคล้องกัน
- ปฏิบัติการที่ 1: เงื่อนไขเดียวเอาอยู่ (
if
)- โจทย์ 1.1: ตรวจสอบเลขบวก:
- คำสั่ง: เขียนโปรแกรมรับค่าตัวเลขจำนวนเต็มจากผู้ใช้ แล้วตรวจสอบว่าเป็นเลขบวก (มากกว่า 0) หรือไม่
- ถ้าใช่: ให้แสดงข้อความว่า “คุณป้อนเลขบวก”
- ตัวอย่าง Input/Output:
- Input:
7
-> Output:คุณป้อนเลขบวก
- Input:
-3
-> (ไม่มี Output จาก if) - Input:
0
-> (ไม่มี Output จาก if)
- Input:
- โจทย์ 1.2: ส่วนลดพิเศษ:
- คำสั่ง: เขียนโปรแกรมรับราคาสินค้าจากผู้ใช้ ถ้าสินค้าราคามากกว่า 1000 บาท
- ให้แสดงข้อความ: “คุณได้รับส่วนลดพิเศษ 5%!”
- ตัวอย่าง Input/Output:
- Input:
1200
-> Output:คุณได้รับส่วนลดพิเศษ 5%!
- Input:
800
-> (ไม่มี Output)
- Input:
- โจทย์ 1.1: ตรวจสอบเลขบวก:
- ปฏิบัติการที่ 2: เลือกซ้ายหรือขวา (
if-else
)- โจทย์ 2.1: เลขคู่เลขคี่:
- คำสั่ง: เขียนโปรแกรมรับตัวเลขจำนวนเต็มจากผู้ใช้ แล้วตรวจสอบว่าเป็นเลขคู่หรือเลขคี่
- แสดงผลลัพธ์: เช่น “7 เป็นเลขคี่” หรือ “4 เป็นเลขคู่”
- โจทย์ 2.2: ผ่าน/ไม่ผ่าน:
- คำสั่ง: เขียนโปรแกรมรับคะแนนสอบ (เต็ม 100) จากผู้ใช้
- เงื่อนไข: ถ้าคะแนนตั้งแต่ 50 ขึ้นไป ให้แสดงข้อความ “ยินดีด้วย! คุณสอบผ่าน” มิฉะนั้น ให้แสดงข้อความ “เสียใจด้วย คุณสอบไม่ผ่าน”
- โจทย์ 2.3: วัยรุ่นหรือไม่?:
- คำสั่ง: เขียนโปรแกรมรับอายุจากผู้ใช้
- เงื่อนไข: ถ้าอายุอยู่ระหว่าง 13 ถึง 19 ปี (รวมทั้ง 13 และ 19) ให้แสดงข้อความ “คุณเป็นวัยรุ่น” มิฉะนั้นให้แสดงข้อความ “คุณไม่ใช่วัยรุ่น” (แนะนำให้ใช้ตัวดำเนินการ
and
ในเงื่อนไข)
- โจทย์ 2.1: เลขคู่เลขคี่:
- ปฏิบัติการที่ 3: หลากหลายทางเลือก (
if-elif-else
)- โจทย์ 3.1: ตัดเกรด:
- คำสั่ง: เขียนโปรแกรมรับคะแนนสอบ (0-100) จากผู้ใช้ แล้วตัดเกรดตามเกณฑ์ต่อไปนี้:
- คะแนน 80 – 100: เกรด A
- คะแนน 70 – 79: เกรด B
- คะแนน 60 – 69: เกรด C
- คะแนน 50 – 59: เกรด D
- คะแนน 0 – 49: เกรด F
- แสดงผลลัพธ์: เช่น “คุณได้เกรด: B”
- (เสริม): ถ้าคะแนนป้อนมาไม่อยู่ในช่วง 0-100 ให้แสดงว่า “คะแนนไม่ถูกต้อง”
- คำสั่ง: เขียนโปรแกรมรับคะแนนสอบ (0-100) จากผู้ใช้ แล้วตัดเกรดตามเกณฑ์ต่อไปนี้:
- โจทย์ 3.2: ขนาดเครื่องดื่ม:
- คำสั่ง: เขียนโปรแกรมรับขนาดเครื่องดื่มที่ผู้ใช้ต้องการ โดยผู้ใช้ป้อนเป็นตัวอักษร S, M, หรือ L (ตัวพิมพ์ใหญ่หรือเล็กก็ได้) แล้วแสดงราคา
- S หรือ s: ราคา 30 บาท
- M หรือ m: ราคา 40 บาท
- L หรือ l: ราคา 50 บาท
- ถ้าผู้ใช้ป้อนขนาดอื่น ให้แสดงข้อความว่า “ขออภัย ไม่มีขนาดที่คุณเลือก”
- (แนะนำให้ใช้
.upper()
หรือ.lower()
กับ input เพื่อทำให้การเปรียบเทียบง่ายขึ้น)
- คำสั่ง: เขียนโปรแกรมรับขนาดเครื่องดื่มที่ผู้ใช้ต้องการ โดยผู้ใช้ป้อนเป็นตัวอักษร S, M, หรือ L (ตัวพิมพ์ใหญ่หรือเล็กก็ได้) แล้วแสดงราคา
- โจทย์ 3.3: ทายผลลูกเต๋า:
- คำสั่ง: เขียนโปรแกรมให้ผู้ใช้ป้อนตัวเลข 1 ถึง 6 ที่คิดว่าเป็นผลจากการทอยลูกเต๋า
- เงื่อนไขการให้รางวัล:
- ถ้าทายถูกเป็นเลข 6: แสดง “สุดยอด! คุณทายถูกเลข 6 ได้รางวัลใหญ่!”
- ถ้าทายเป็นเลข 4 หรือ 5: แสดง “เกือบถูก! คุณทาย [เลขที่ทาย] ได้รางวัลปลอบใจ”
- ถ้าทายเป็นเลข 1, 2, หรือ 3: แสดง “เสียใจด้วย คุณทาย [เลขที่ทาย] ครั้งหน้าลองใหม่นะ”
- ถ้าป้อนเลขอื่นนอกเหนือจาก 1-6: แสดง “กรุณาป้อนตัวเลข 1-6 เท่านั้น”
- โจทย์ 3.1: ตัดเกรด:
- ปฏิบัติการที่ 4: เงื่อนไขซับซ้อนขึ้นอีกนิด (ทบทวน
and
,or
,not
)- โจทย์ 4.1: สิทธิ์เข้าชมรม:
- คำสั่ง: เขียนโปรแกรมรับอายุ (ปี) และสถานะการเป็นสมาชิก (ป้อน ‘Y’ ถ้าเป็นสมาชิก, ‘N’ ถ้าไม่เป็น)
- เงื่อนไขการแสดงผล:
- ถ้าอายุระหว่าง 18 ถึง 25 ปี และ เป็นสมาชิก: แสดง “คุณมีสิทธิ์เข้าใช้บริการพิเศษของชมรม”
- ถ้าอายุระหว่าง 18 ถึง 25 ปี แต่ ไม่ได้เป็นสมาชิก: แสดง “กรุณาสมัครสมาชิกเพื่อรับสิทธิ์ใช้บริการพิเศษ”
- ถ้าอายุไม่อยู่ในช่วง 18-25 ปี: แสดง “คุณยังไม่มีสิทธิ์ใช้บริการนี้”
- โจทย์ 4.2: ตรวจสอบวันหยุดสุดสัปดาห์:
- คำสั่ง: เขียนโปรแกรมรับชื่อวันเป็นภาษาอังกฤษ (เช่น Monday, Tuesday, …, Sunday)
- เงื่อนไขการแสดงผล:
- ถ้าเป็น “Saturday” หรือ “Sunday” (ไม่ว่าจะพิมพ์ตัวเล็กหรือตัวใหญ่): แสดง “[ชื่อวัน] เป็นวันหยุดสุดสัปดาห์! พักผ่อนให้เต็มที่”
- มิฉะนั้น: แสดง “[ชื่อวัน] เป็นวันทำงาน สู้ๆ!”
- (แนะนำให้ใช้
.lower()
หรือ.capitalize()
กับ input เพื่อให้ง่ายต่อการเปรียบเทียบ)
- โจทย์ 4.1: สิทธิ์เข้าชมรม:
- (เสริม) ปฏิบัติการที่ 5: เงื่อนไขซ้อนเงื่อนไข (Nested
if
)- โจทย์ 5.1: ตรวจสอบการ Login:
- คำสั่ง: กำหนด username ที่ถูกต้องเป็น “admin” และ password ที่ถูกต้องเป็น “pass123” ไว้ในโปรแกรม
- รับ username จากผู้ใช้
- ถ้า username ที่ป้อนมาตรงกับ “admin”:
- ให้รับ password จากผู้ใช้
- ถ้า password ที่ป้อนมาตรงกับ “pass123”: แสดง “Login successful! Welcome Admin.”
- มิฉะนั้น (password ผิด): แสดง “Incorrect password.”
- มิฉะนั้น (username ผิด): แสดง “Incorrect username.”
- โจทย์ 5.1: ตรวจสอบการ Login:
แบบฝึกหัดประยุกต์ (เลือกทำ 1-2 ข้อ หรือเป็นการบ้าน)
- โจทย์ประยุกต์ 1: คำนวณค่าส่งพัสดุ:
- คำสั่ง: เขียนโปรแกรมรับน้ำหนักพัสดุ (หน่วยเป็นกิโลกรัม) จากผู้ใช้
- เงื่อนไขการคำนวณค่าส่ง:
- น้ำหนักไม่เกิน 1 กก.: ค่าส่ง 50 บาท
- น้ำหนักมากกว่า 1 กก. แต่ไม่เกิน 5 กก.: ค่าส่ง 100 บาท
- น้ำหนักมากกว่า 5 กก. แต่ไม่เกิน 10 กก.: ค่าส่ง 200 บาท
- น้ำหนักมากกว่า 10 กก.: ค่าส่ง 350 บาท
- แสดงผล: ค่าส่งที่คำนวณได้
- โจทย์ประยุกต์ 2: โปรแกรมร้านกาแฟขนาดเล็ก:
- คำสั่ง: แสดงเมนูเครื่องดื่มให้ผู้ใช้เลือก:
--- Welcome to Our Cafe ---
1. Espresso (50 Baht)
2. Latte (60 Baht)
3. Cappuccino (65 Baht)
4. Americano (45 Baht)
Please enter your choice (1-4):
- รับตัวเลือก (เป็นตัวเลข 1, 2, 3, หรือ 4) จากผู้ใช้
- แสดงผล: ชื่อเครื่องดื่มและราคาตามที่ผู้ใช้เลือก
- ถ้าผู้ใช้ป้อนตัวเลือกอื่นนอกเหนือจากนี้: แสดง “Invalid choice. Please try again.”
- (เสริม): หลังจากผู้ใช้เลือกเครื่องดื่มแล้ว (ถ้าเป็น Espresso, Latte, หรือ Cappuccino) ให้ถามต่อว่า “ต้องการเพิ่มวิปครีมหรือไม่ (Y/N)? (เพิ่ม 10 บาท)”
- ถ้าตอบ ‘Y’ หรือ ‘y’ ให้บวกราคาเพิ่ม 10 บาท แล้วแสดงราคารวมสุทธิ
- ถ้าตอบ ‘N’ หรือ ‘n’ หรืออื่นๆ ก็แสดงราคาเดิม
Python
--- Welcome to Our Cafe ---
1. Espresso (50 Baht)
2. Latte (60 Baht)
3. Cappuccino (65 Baht)
4. Americano (45 Baht)
Please enter your choice (1-4):
พิเศษใส่ไข่
จงเขียนโปรแกรมคำนวณตามกฏของโฮห์มให้มีการทำงานดังนี้
Python
---โปรแกรมคำนวณ Ohm's Law---
1. คำนวณแรงดัน (Voltage)
2. คำนวณกระแส (Current)
3. คำนวณความต้านทาน (Resistance)
กรุณาเลือกตัวเลือก (1/2/3):
จากนั้นให้รับค่าแล้วคำนวณตามสูตร แล้วแาดงผลลัพธ์