1.1 การติดตั้ง Python และโปรแกรมพัฒนาโค้ด (IDE)
ทำไมต้องมี Python Interpreter?
คอมพิวเตอร์ไม่เข้าใจภาษา Python โดยตรง
Python Interpreter คือ “ล่าม” หรือ “ตัวแปลภาษา” ที่อ่านโค้ด Python ทีละบรรทัดแล้วสั่งให้คอมพิวเตอร์ทำงานตาม
แหล่งดาวน์โหลด Python:
แนะนำเว็บไซต์หลัก: python.org
เวอร์ชันที่แนะนำ (เช่น Python 3.x.x ที่เป็น Stable release ล่าสุด)
โปรแกรมพัฒนาโค้ด (IDE – Integrated Development Environment) คืออะไร?
นิยาม: โปรแกรมที่รวมเครื่องมือต่างๆ ที่จำเป็นสำหรับการเขียนโปรแกรมไว้ในที่เดียว
ประโยชน์ของ IDE:
Text Editor: สำหรับเขียนและแก้ไขโค้ด (มักมี syntax highlighting ช่วยให้อ่านโค้ดง่าย)
Build/Execution Tools: ช่วยในการรัน (run) หรือคอมไพล์โปรแกรมได้ง่าย
Debugger: เครื่องมือช่วยค้นหาและแก้ไขข้อผิดพลาดในโปรแกรม
Project Management: ช่วยจัดการไฟล์ต่างๆ ในโปรเจกต์
แนะนำ Python IDEs ที่นิยม (สำหรับผู้เริ่มต้น):
1. IDLE (Integrated Development and Learning Environment): ติดตั้งมาพร้อมกับ Python, เรียบง่าย, เหมาะกับการทดลองโค้ดสั้นๆ
2. Thonny: ออกแบบมาสำหรับผู้เริ่มต้นโดยเฉพาะ, มี User Interface ที่เข้าใจง่าย, มี Debugger ในตัวที่เห็นภาพชัดเจน
3. Visual Studio Code (VS Code): Text Editor ที่ทรงพลังและปรับแต่งได้สูง, ต้องติดตั้งส่วนขยาย (Extension) “Python” ของ Microsoft เพิ่มเติม, เป็นที่นิยมมากในหมู่นักพัฒนาทั่วไป
4. PyCharm Community Edition: IDE ที่มีความสามารถสูงจาก JetBrains, มีเครื่องมือช่วยพัฒนามากมาย, อาจจะดูซับซ้อนเล็กน้อยสำหรับผู้เริ่มต้น แต่ก็เป็นตัวเลือกที่ดี
1.2 โครงสร้างโปรแกรม Python พื้นฐาน และ “Hello, World!”
โหมดการทำงานของ Python:
Interactive Mode (โหมดโต้ตอบ):
พิมพ์คำสั่ง Python ทีละบรรทัด แล้ว Interpreter จะประมวลผลและแสดงผลทันที
เข้าถึงได้ผ่าน Command Prompt/Terminal (พิมพ์ python หรือ python3) หรือ Shell ใน IDE
เหมาะสำหรับทดลองโค้ดสั้นๆ, ตรวจสอบค่าตัวแปร, หรือเรียนรู้คำสั่งใหม่ๆ
สัญลักษณ์ Prompt มักจะเป็น >>>
Script Mode (โหมดสคริปต์):
เขียนชุดคำสั่ง Python หลายๆ บรรทัดรวมกันในไฟล์เดียว
บันทึกไฟล์ด้วยนามสกุล .py (เช่น my_program.py)
รันโปรแกรมทั้งไฟล์ผ่าน Interpreter
เป็นวิธีการเขียนโปรแกรมทั่วไปสำหรับสร้างแอปพลิเคชัน
การเขียนโปรแกรมแรก: “Hello, World!”
คำสั่งพื้นฐานที่สุดในการแสดงผลออกทางหน้าจอคือฟังก์ชัน print()
ไวยากรณ์: print(“ข้อความที่ต้องการแสดง”) หรือ print(‘ข้อความ’)
ตัวอย่าง: print(“Hello, World!”)
“Hello, World!” คือ สตริง (String) หรือชุดของอักขระ
การบันทึกและรันโปรแกรม Python:
การบันทึกไฟล์: ใช้เมนู File > Save หรือ File > Save As… ใน IDE, ตั้งชื่อไฟล์ให้สื่อความหมาย และใช้นามสกุล .py
การรันโปรแกรม:
ใน IDE ส่วนใหญ่จะมีปุ่ม “Run” หรือเมนู “Run” (เช่น กด F5 ใน Thonny หรือ VS Code)
ผ่าน Command Prompt/Terminal: python ชื่อไฟล์.py หรือ python3 ชื่อไฟล์.py
การใช้ความคิดเห็น (Comments) ใน Python:
ความสำคัญ: ใช้อธิบายโค้ด, ทำให้ผู้อื่น (หรือตัวเราเองในอนาคต) เข้าใจการทำงานของโปรแกรมได้ง่ายขึ้น, Interpreter จะไม่ประมวลผลส่วนที่เป็น Comment
Single-line Comment (ความคิดเห็นบรรทัดเดียว):
ใช้เครื่องหมาย # นำหน้าข้อความ
ตัวอย่าง: # นี่คือโปรแกรมแรกของฉัน print(“Hello”) # แสดงคำทักทาย
Multi-line Comment / Docstrings (ความคิดเห็นหลายบรรทัด หรือ Docstring):
ใช้เครื่องหมายอัญประกาศสามตัว (“””ข้อความ””” หรือ ”’ข้อความ”’) ครอบข้อความ
มักใช้สำหรับอธิบายภาพรวมของไฟล์, ฟังก์ชัน, หรือคลาส (เรียกว่า Docstring)
ตัวอย่าง:
Python """
นี่คือโปรแกรมตัวอย่าง
ที่เขียนด้วยภาษา Python
สำหรับนักศึกษา ปวส.
"""
print ( " Welcome! " )
ข้อควรรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับไวยากรณ์ (Syntax):
Case Sensitivity: ภาษา Python แยกแยะระหว่างตัวอักษรพิมพ์เล็กและพิมพ์ใหญ่ เช่น name กับ Name ถือเป็นคนละตัวแปร
Indentation (การย่อหน้า): มีความสำคัญมากใน Python ใช้ในการกำหนดขอบเขตของบล็อกโค้ด (จะเรียนในรายละเอียดเมื่อถึงเรื่องโครงสร้างควบคุม)
1.3 ตัวแปร (Variables) และการตั้งชื่อ
ความหมายของตัวแปร:
ชื่อที่ใช้อ้างอิงถึงตำแหน่งในหน่วยความจำที่ใช้เก็บข้อมูล
เปรียบเสมือน “กล่อง” หรือ “ป้ายชื่อ” ที่เราตั้งขึ้นเพื่อเก็บค่าต่างๆ ที่จะนำไปใช้ในโปรแกรม
การประกาศและกำหนดค่าตัวแปรใน Python (Dynamic Typing):
Python เป็นภาษาประเภท Dynamic Typing หมายความว่า เราไม่จำเป็นต้องประกาศชนิดข้อมูลของตัวแปรก่อนใช้งาน Interpreter จะกำหนดชนิดข้อมูลให้โดยอัตโนมัติตามค่าที่ถูกกำหนดให้กับตัวแปรนั้น
การกำหนดค่า (Assignment): ใช้เครื่องหมายเท่ากับ =
ไวยากรณ์: ชื่อตัวแปร = ค่าข้อมูล
ตัวอย่าง:
Python student_name = " สมศรี " # ตัวแปร student_name เก็บข้อมูลชนิดสตริง
age = 20 # ตัวแปร age เก็บข้อมูลชนิดจำนวนเต็ม
gpa = 3.75 # ตัวแปร gpa เก็บข้อมูลชนิดจำนวนจริง
is_male = False # ตัวแปร is_male เก็บข้อมูลชนิดบูลีน
กฎเกณฑ์การตั้งชื่อตัวแปร (Naming Rules):
ต้องขึ้นต้นด้วยตัวอักษร (a-z, A-Z) หรือเครื่องหมายขีดล่าง (_)
หลังจากตัวแรก สามารถตามด้วยตัวอักษร, ตัวเลข (0-9), หรือเครื่องหมายขีดล่าง (_)
ห้าม ใช้คำสงวน (Keywords) ของ Python เป็นชื่อตัวแปร
ห้าม มีช่องว่าง (space) ในชื่อตัวแปร
ห้าม ใช้สัญลักษณ์พิเศษอื่นๆ เช่น !, @, #, $, %, ^, &, *, (, ), -, +, =, ?, / (ยกเว้น _)
ชื่อตัวแปรเป็นแบบ Case-Sensitive (ตัวพิมพ์เล็กและตัวพิมพ์ใหญ่ถือว่าแตกต่างกัน) เช่น myVar, myvar, MyVar คือคนละตัวแปร
ข้อแนะนำในการตั้งชื่อตัวแปรที่ดี (Naming Conventions):
snake_case : เป็นรูปแบบที่นิยมใช้ใน Python สำหรับชื่อตัวแปรและชื่อฟังก์ชัน โดยใช้ตัวพิมพ์เล็กทั้งหมด และคั่นแต่ละคำด้วยเครื่องหมายขีดล่าง (_)
ตัวอย่าง: first_name, item_count, total_price
ชื่อสื่อความหมาย (Meaningful Names): ตั้งชื่อให้สื่อถึงข้อมูลที่ตัวแปรนั้นเก็บอยู่ เพื่อให้โค้ดอ่านเข้าใจง่าย
ดี: student_age = 19
ไม่ดี: a = 19 (ถ้าไม่มีบริบทอื่น)
หลีกเลี่ยงการใช้ตัวอักษรเดียว (เช่น x, y) ยกเว้นในกรณีที่เป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไป (เช่น ตัวนับใน loop i, j, k หรือตัวแปรทางคณิตศาสตร์)
มีความสอดคล้องกันในการตั้งชื่อตลอดทั้งโปรเจกต์
1.4 คำสงวนในภาษา Python (Python Reserved Words / Keywords)
ความหมาย: คำที่ถูกกำหนดไว้เป็นพิเศษในภาษา Python และมีความหมายเฉพาะในการทำงานของ Interpreter ไม่สามารถนำคำเหล่านี้ไปใช้เป็นชื่อตัวแปร, ชื่อฟังก์ชัน, หรือชื่ออื่นๆ ที่ผู้ใช้กำหนดเอง (Identifiers)
ตัวอย่างคำสงวนที่สำคัญและใช้บ่อย:
if, elif, else (สำหรับการตัดสินใจ)
for, while (สำหรับการวนซ้ำ)
def (สำหรับนิยามฟังก์ชัน), class (สำหรับนิยามคลาส)
return (สำหรับคืนค่าจากฟังก์ชัน)
import, from (สำหรับการนำโมดูลมาใช้งาน)
True, False, None (ค่าคงที่พิเศษ)
and, or, not (ตัวดำเนินการตรรกะ)
try, except, finally (สำหรับการจัดการข้อผิดพลาด)
in, is (ตัวดำเนินการเปรียบเทียบ)
break, continue, pass (คำสั่งควบคุมการทำงาน)
วิธีการตรวจสอบรายการคำสงวนทั้งหมด:
สามารถดูได้จากเอกสารของ Python หรือใช้โค้ดสั้นๆ ใน Python เอง:
Python import keyword
print ( keyword . kwlist )
1.5 ชนิดข้อมูลพื้นฐาน (Basic Data Types) ใน Python (แนะนำเบื้องต้น)
ความนำ: ชนิดข้อมูล (Data Type) เป็นการจำแนกประเภทของค่าที่ตัวแปรสามารถเก็บได้ และกำหนดว่าสามารถดำเนินการใดกับค่านั้นได้บ้าง Python มีชนิดข้อมูลพื้นฐานหลายประเภท ดังนี้:
จำนวนเต็ม (Integer – int ):
คือตัวเลขจำนวนเต็ม ทั้งจำนวนเต็มบวก, จำนวนเต็มลบ, หรือศูนย์
ตัวอย่าง: count = 10, temperature = -5, year = 2025, population = 70000000
จำนวนจริง (Float – float ):
คือตัวเลขที่มีจุดทศนิยม (Floating-point numbers)
ใช้สำหรับค่าที่ต้องการความละเอียด เช่น การวัด, ค่าเงิน, ผลการคำนวณทางวิทยาศาสตร์
ตัวอย่าง: pi = 3.14159, price = 99.99, gpa = 3.5, negative_float = -0.001, height = 175.0 (แม้จะไม่มีเศษทศนิยม แต่ถ้ามี .0 จะถือเป็น float)
ข้อความ (String – str ):
คือชุดของอักขระ (ตัวอักษร, ตัวเลข, สัญลักษณ์) ที่เรียงต่อกัน ใช้สำหรับเก็บข้อมูลที่เป็นข้อความ
ต้องเขียนอยู่ภายในเครื่องหมายคำพูดเดี่ยว (‘…’), คำพูดคู่ (“…”), หรือคำพูดสามตัว (“””…””” หรือ ”’…”’ สำหรับข้อความหลายบรรทัด)
ตัวอย่าง:
Python school_name = " วิทยาลัยเทคนิคปวส. "
greeting = ' สวัสดีครับ '
address = """ 123 หมู่ 4
ตำบลหัวยอ อำเภอเมือง
จังหวัดแพร่ 54000 """
empty_string = ""
ค่าความจริง (Boolean – bool ):
คือชนิดข้อมูลที่ใช้แทนค่าความจริง มีเพียง 2 ค่าเท่านั้น คือ True (จริง) และ False (เท็จ) (สังเกตว่าตัว T และ F เป็นตัวพิมพ์ใหญ่)
มักใช้ในการควบคุมการตัดสินใจในโปรแกรม (เช่น ในคำสั่ง if) หรือเป็นผลลัพธ์จากการเปรียบเทียบ
ตัวอย่าง:
Python is_student = True
is_raining = False
has_passed_exam = ( score >= 50 ) # ผลลัพธ์จะเป็น True หรือ False
2.1 การติดตั้ง Python และ IDE (แนะนำ Thonny หรือ VS Code)
ขั้นตอนการดาวน์โหลดและติดตั้ง Python จาก python.org:
ไปที่ python.org
ไปที่ส่วน “Downloads” เลือกเวอร์ชันล่าสุดสำหรับระบบปฏิบัติการของผู้เรียน (Windows, macOS, Linux)
(สำหรับ Windows) สำคัญมาก: ขณะติดตั้ง ให้ติ๊กถูกที่ช่อง “Add Python X.X to PATH” เพื่อให้สามารถเรียกใช้ Python จาก Command Prompt ได้ง่าย
ทำตามขั้นตอนการติดตั้งจนเสร็จ
การตรวจสอบการติดตั้ง Python:
เปิด Command Prompt (Windows) หรือ Terminal (macOS/Linux)
พิมพ์ python –version หรือ python3 –version แล้วกด Enter
ควรแสดงเวอร์ชันของ Python ที่ติดตั้งไว้
ขั้นตอนการดาวน์โหลดและติดตั้ง IDE:
Thonny:
ไปที่ thonny.org
ดาวน์โหลดตัวติดตั้งสำหรับระบบปฏิบัติการของผู้เรียน
ติดตั้งตามขั้นตอน (มักจะง่ายและตรงไปตรงมา)
Visual Studio Code (VS Code):
ไปที่ code.visualstudio.com
ดาวน์โหลดและติดตั้ง VS Code
เปิด VS Code ไปที่ส่วน Extensions (ไอคอนสี่เหลี่ยมซ้อนกัน)
ค้นหา “Python” และติดตั้ง Extension ที่พัฒนาโดย Microsoft
VS Code อาจแจ้งให้เลือก Python Interpreter (ให้เลือกตัวที่เพิ่งติดตั้งไป)
การตั้งค่าเบื้องต้นของ IDE:
(Thonny) อาจไม่ต้องตั้งค่ามากนัก สามารถใช้งานได้เลย
(VS Code) ตรวจสอบว่า Interpreter ถูกเลือกถูกต้อง (มุมล่างซ้าย), การตั้งค่า Theme หรือ Font Size (ตามความชอบ, ไม่จำเป็น)
การแก้ไขปัญหาที่พบบ่อย:
“python is not recognized…” (มักเกิดจากการไม่ได้ Add to PATH) -> อาจต้องติดตั้งใหม่ หรือแก้ไข PATH environment variable (ค่อนข้างซับซ้อนสำหรับผู้เริ่มต้น อาจให้ผู้สอนช่วย)
ปัญหาการติดตั้ง IDE -> ตรวจสอบว่าดาวน์โหลดไฟล์ถูกเวอร์ชันกับ OS, มีพื้นที่พอ
2.2 การเขียนและรันโปรแกรมแรก “Hello, World!”
การสร้างไฟล์ใหม่ใน IDE:
(Thonny) File > New หรือคลิกไอคอน New
(VS Code) File > New File
การเขียนโค้ด:
Python # My first Python program
print ( " Hello, World! " )
print ( " สวัสดี ปวส. วิทยาลัยเทคนิคแพร่ " ) # ทดลองภาษาไทย
การบันทึกไฟล์:
File > Save As…
เลือกตำแหน่งที่ต้องการบันทึก
ตั้งชื่อไฟล์ เช่น hello_pvs.py (สำคัญที่นามสกุลต้องเป็น .py)
การรันโปรแกรม:
(Thonny) คลิกปุ่ม “Run current script” (ไอคอน Play สีเขียว) หรือกด F5
(VS Code) คลิกขวาใน Editor แล้วเลือก “Run Python File in Terminal” หรือกดปุ่ม Play ที่มุมบนขวา (ถ้ามี)
สังเกตผลลัพธ์:
ผลลัพธ์จะแสดงในส่วน “Shell” (Thonny) หรือ “Terminal” (VS Code) ด้านล่าง
ทดลองแก้ไขและรันใหม่:
แก้ไขข้อความใน print() เช่น เปลี่ยนเป็นชื่อตัวเอง แล้วรันอีกครั้ง
ทดลองใช้ Comments:
เพิ่ม Comment อธิบายแต่ละบรรทัด หรืออธิบายภาพรวมของโปรแกรม
2.3 การทำงานกับตัวแปร
แบบฝึกหัด 1: ประกาศและแสดงผลตัวแปร
ให้ผู้เรียนสร้างไฟล์ใหม่ (เช่น variables_practice.py)
เขียนโค้ดประกาศตัวแปรเก็บข้อมูลส่วนตัว:
Python # ข้อมูลนักศึกษา
student_id = " 6730105xxxx "
first_name = " สมชาย "
last_name = " รักเรียน "
age = 19
major = " เทคโนโลยีสารสนเทศ "
gpa = 3.15
is_registered = True
# แสดงผลข้อมูล
print ( " รหัสนักศึกษา: " , student_id )
print ( " ชื่อ: " , first_name , last_name ) # print() สามารถรับหลาย arguments ได้
print ( " อายุ: " , age , " ปี " )
print ( " สาขาวิชา: " , major )
print ( " เกรดเฉลี่ย: " , gpa )
print ( " สถานะการลงทะเบียน: " , is_registered )
แนะนำการใช้ f-strings (Formatted String Literals) เพื่อการแสดงผลที่สวยงาม:
Python print ( f "--- ข้อมูลนักศึกษา (ใช้ f-string) ---" )
print ( f "รหัสนักศึกษา: { student_id } " )
print ( f "ชื่อ: { first_name } { last_name } " )
print ( f "อายุ: { age } ปี, สาขาวิชา: { major } , เกรดเฉลี่ย: { gpa } " )
แบบฝึกหัด 2: การเปลี่ยนแปลงค่าตัวแปร
Python score = 75
print ( f "คะแนนเริ่มต้น: { score } " )
# สมมติว่าได้คะแนนเพิ่ม
score = score + 10
print ( f "คะแนนหลังเพิ่ม: { score } " )
# หรือใช้ Augmented Assignment Operator (จะเรียนในหน่วยถัดไป แต่แนะนำได้)
# score += 10
แบบฝึกหัด 3: การตั้งชื่อตัวแปร
ให้ผู้เรียนพิจารณาชื่อตัวแปรต่อไปนี้ว่าถูกหรือผิดกฎ และถ้าผิด ผิดเพราะอะไร ควรแก้ไขอย่างไร:
my variable (ผิด: มีช่องว่าง) -> แก้เป็น my_variable
2nd_number (ผิด: ขึ้นต้นด้วยตัวเลข) -> แก้เป็น second_number หรือ number_2
item-price (ผิด: มีเครื่องหมาย -) -> แก้เป็น item_price
StudentName (ถูกกฎ แต่ไม่ตรงตาม Convention ของ Python สำหรับตัวแปร) -> แนะนำ student_name
for (ผิด: เป็นคำสงวน) -> แก้เป็น for_loop_counter หรือชื่ออื่นที่สื่อความหมาย
_value (ถูกกฎ)
TOTALSCORE (ถูกกฎ แต่ Convention มักใช้กับค่าคงที่) -> แนะนำ total_score
ทดลองใช้คำสงวนเป็นชื่อตัวแปร:
ให้ผู้เรียนลองพิมพ์ if = 10 ใน IDE แล้วสังเกต SyntaxError ที่เกิดขึ้น
2.4 การสำรวจชนิดข้อมูลพื้นฐาน
แนะนำฟังก์ชัน type() :
type() ใช้สำหรับตรวจสอบชนิดข้อมูลของค่าหรือตัวแปร
ตัวอย่าง: print(type(10)) จะแสดงผล <class ‘int’>
แบบฝึกหัด: ตรวจสอบชนิดข้อมูล
ให้ผู้เรียนเขียนโค้ดในไฟล์ใหม่ (เช่น data_types_practice.py)
สร้างตัวแปรตามตัวอย่าง แล้วใช้ print(type(ชื่อตัวแปร)) และ print(ชื่อตัวแปร, “มีชนิดข้อมูลคือ”, type(ชื่อตัวแปร))
Python # Integer
num_apples = 5
print ( f "ค่า: { num_apples } , ชนิด: { type ( num_apples ) } " )
# Float
book_price = 199.50
print ( f "ค่า: { book_price } , ชนิด: { type ( book_price ) } " )
# String
course_code = " CS101 "
welcome_message = ' ยินดีต้อนรับสู่ ปวส. '
long_text = """ Python is versatile.
It can be used for many purposes. """
print ( f "ค่า: { course_code } , ชนิด: { type ( course_code ) } " )
print ( f "ค่า: { welcome_message } , ชนิด: { type ( welcome_message ) } " )
print ( f "ค่า: { long_text } , ชนิด: { type ( long_text ) } " )
# Boolean
is_online = True
has_error = False
print ( f "ค่า: { is_online } , ชนิด: { type ( is_online ) } " )
print ( f "ค่า: { has_error } , ชนิด: { type ( has_error ) } " )
# ทดลองกับค่าโดยตรง
print ( f "ชนิดข้อมูลของ 100 คือ { type ( 100 ) } " )
print ( f "ชนิดข้อมูลของ -2.5 คือ { type ( - 2.5 ) } " )
print ( f "ชนิดข้อมูลของ \" Test \" คือ { type ( ' Test ' ) } " )
print ( f "ชนิดข้อมูลของ False คือ { type ( False ) } " )
อภิปราย:
ความแตกต่างระหว่าง int และ float (การมีจุดทศนิยม)
ความแตกต่างระหว่างการใช้ ‘ ‘, ” “, “”” “”” สำหรับ str (multi-line)
ค่าที่เป็นไปได้ของ bool (True, False)